Sunday, January 18, 2009

เด็กเอ๋ยเด็กดี

เด็กดี เด็กเอ๋ย เด็กดี
ย่อมมีหน้าที่ ๑๐ อย่างด้วยกัน
หนึ่งนับถือศาสนา
สองรักษาธรรมเนียมมั่น
สามเชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์
สี่วาจานั้นต้องสุภาพอ่อนหวาน
ห้ายึดมั่นกตัญญู
หกเป็นผู้รู้รักการงาน
เจ็ดหมั่นศึกษาให้เชี่ยวชาญ
ต้องมานะบากบั่นไม่เกียจไม่คร้าน
แปดรู้จักออมประหยัด
เก้าต้องซื่อสัตย์ตลอดกาล
น้ำใจนักกีฬากล้าหาญ
ให้เหมาะกับกาลสมัยชาติพัฒนา
สิบทำตนให้เป็นประโยชน์
รู้บาปบุญคุณโทษ
สมบัติชาติต้องรักษา
เด็กสมัยชาติพัฒนา
เป็นเด็กที่พาชาติไทยเจริญ

เพลงเด็กเอ๋ยเด็กดีเป็นเพลงวันเด็ก เพลงนี้เป็นคล้ายๆหลักการ ๑๐ ข้อที่บอกว่าเด็กดีต้องเป็นอย่างไร เพื่อจำได้ง่ายและให้ติดหูของเด็กไทย เพลงนี้มีวรรคที่สั้นมาก สัมผัสสระ ใช้ภาษาที่ง่าย และมีจังหวะที่สนุกและลื่นไหล

ความสนุกและจังหวะที่เร็วของเพลงนี้สร้างบรรยากาศที่ไม่เข้มงวด ซึ่อาจจะทำให้เด็กสนุกกับการเป็นเด็กดี

Friday, January 16, 2009

เพลงคำมั่นสัญญา

ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร
ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้อยู่ในใต้หล้าสุธาธาร
ขอพบพานพิสวาทมิคลาดคลา

แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ
พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา
แม้เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา
เชยผกาโกสุมปทุมทอง
แม้เป็นถ้ำอำไพขอให้พี่
เป็นราชสีห์สมสู่เป็นคู่สอง
ขอติดตามทรามสงวนนวลละอองเ
ป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป

โดย สุนทรภู่ เรื่องพระอภัยมณี

กลอนนี้มีชื่อที่ตรงไปตรงมา แต่ทำให้ผู้อ่านสงสัยว่าคำมั่นสัญญานั้นคืออะไรกันแน่ แต่ยังสามารถกูออกว่าเป็นกลอนรักแนวโรแมนติก ไม่ใช่กลอนตรงไปตรงมาเหมือนเพลงแตงโม เนื้อกลอนนี้เป็นเรื่องชายที่รักผู้หญิงคนหนึ่ง และใช้กลอนเป็นตัวบ่งบอกความรักสุดขีดของเขา ผู้แต่งได้ประสบความสำเร็จในด้านของการแสดงความรักโดยใช้เทคนิคหลายแบบ อย่างเช่นอุปมา (simile) อติพจน์ (hyperbole) และการเลือกคำ (diction)

กลอนนี้ไม่มีทรงอะไรเป็นพิเศษ เพราะว่าเป็นเพียงแค่บทรักแล้วไม่ใช่เพลง จึงไม่มี chorus หรือ verse

นอกจากนี้ กลอนนี้เป็นกลอนที่สั้นมาก แต่เต็มไปด้วยความหมายและความจริงใจ โดยการใช้อติพจน์บ่อยครั้ง และใช้การซ้ำในการประกอบประโยค อย่างเช่น ผู้แต่งได้ใช้ประโยคที่มี structure แบบ
แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ
ประโยคแบบนี้มีผลบังคับเป็นตัวเปรียบเทียบกับความรักของผู้ชาย ซึ่งตอบว่า
พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา

สองประโยคนี้เป็นตัวอย่างของอติพน์ ในทั้งกลอนมีประโยคเปรียบทียบทั้งหมด ๓ อัน แต่มีอติพจน์ในเกือบทุกบรรทัด อติพจน์ ซึ่งเป็นอะไรที่เกินความจริง บรรยายความรักอันมหาศาลของผู้เขียนที่มากเกินไปกว่าธรรมชาติอีก

ผู้แต่งกลอนนี้ได้เลือกคำที่ฟังดูไพเราะ แต่เป็นคำที่ซับซ้อน ภาษาเขียน แล้วบางส่วนเป็นคล้ายคำโบราณ นอกจากนี้ ผู้แต่งยังใช้คำที่สัมผัสตัวอักศรเพื่อเพิ่มเติมความลื่นใหล ความไพเราะ และทำให้คำดังกล่าวโดดเด่นออกมา

ตัวอย่างจากกลอนคือ

ไม่สิ้สุดความรักมัครมาน

ในวรรคนี้ ผู้แต่งใช้เสียง บ่อยมาก (sibilance) ซึ่งสร้างบรรยากาศที่สงบจิตสงบใจ ทำให้มีความโรแมนติกเพิ่มขึ้น
นอกจากเทคนิควรรณกรรมแล้ว กลอนน้ยมีสัญญลักษณ์
(symbol) ในหลายวรรค ที่เป็นอันเดียวกัน สัญญลักษณ์อันนี้คือเพศสัมพันธร์ซึ่งเห็นได้ชัดในทั้งสามประโยคเปรียบเทียบ (ที่พูดถึงในด้านบน) ตารางนี้เป็นตัวอย่างของปรโยคแรกและความสำคัญของสัญญลักษณ์

ประโยคเปรียบเทียบ ๑

แม้อยู่ในใต้หล้าสุธาธาร
ขอพบพานพิสวาทมิคลาดคลา

ในตัวอย่างนี้ ผู้ชายเปรียบเมือนปลาที่ว่ายอยู่ในผู้หญิง ที่คือสำธาร คำว่าว่าย เป็นอุปมาเพื่อความกำกวมและความไพเราะ

Wednesday, January 14, 2009

บทพระราชนิพนธ์ เรื่องท้าวแสนปม

ในลักษณ์นั้นว่าน่าประหลาด

เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า

เหตุไฉนย่อท้อรอรา

ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที



เห็นแก้วแวววับที่จับจิต

ไยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่

เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี

อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ



อันของสูงแม้ปองต้องจิต

ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา

มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ

ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม



ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง

คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม

ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินดอม

จึ่งได้ออมอบกลิ่นสุมาลี

กลอนนี้เขียนในมุมมองของหญิงสาวที่รวยและเป็นคนฐานะดีมาก หญิงดังกล่าวกำลังโกรธชายรัก และกลอนนี้เป็นการบ่น/ต่อว่าผู้รักของเธอ ที่ไม่ได้พยายามเก็บกินความรักของเธอ โดยแค่นั่งรอให้เธอรักเขาอย่างเดียว แต่ไม่แสดงความเอ็นดูแม้แต่นิดเดียว ผู้อ่านสามารถเห็นว่าหญิงคนนี้เป็นคนที่มีฐานะดีและเป็นคนรวย เพราะว่าในเนื้อเพลง เขาเปรียบเทียบตัวเองกับของสูงบ่อยมาก อย่างเช่นในวรรคที่ ๑๐ เมื่อเธอเรียกตัวเองว่าอันมณี ซึ่งเป็นสิ่งของที่ส้ำค่า เพลงนี้มีช่วงหนึ่งที่คล้ายกับเพลงแตงโมมาก คือบอกว่าของในตลาดเป็นของที่กระจอกและไม่มีค่า โครงสร้างของกลอนนี้ค่อนข้างที่จะเรียบง่าย ในวรรคที่๒และ๓ของทุกบท จะมีสัมผัสระในพยางค์สุดท้ายของคำ กลอนนี้มีอุปมาเละอุปไมยเยอะมาก โดยเฉพะในตอนที่ผู้หญิงเปรียบเทียบตัวเองกับของล้ำค่าและสวย อย่างเช่น แก้วเวววับ อันมณี สุมาลี แล้ว ในบทที่สาม ‘อันของสูง’ อุปมาเหล่านี้ทำให้ผู้อ่านรู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีฐานะสูงขนาดไหน
กลอนนี้มีจังหวะที่ลื่นไหลมาก เพราะว่าเกือบทุกวรรคมีพยางค์จำนวนไล่เลี่ยกัน ความลื่นไหลนี้มีผลกระทบต่อผุ้อ่านเยอะมาก เพราะว่าทำให้ตัวกลอนไพเราะขึ้นอย่างมากเมื่ออ่านออกมาดังๆ นอกจากนี้ ผู้แต่งได้เลือกใช้คำที่ซับซ้อนและโบราณ อย่างเช่นคำว่า ภุมรินเหรือคำว่า บุปผา เพื่อสื่อถึงความฉลาดของผู้หญิงคนนี้ และเพิ่มเติมความไพเราะแลความซับซ้อนของกลอน

Thursday, January 8, 2009

เปิบข้าว

เปิบข้าวทุกคราวคำ จงสูจำเป็นอาจิณ
เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน
ข้าวนี้นะมีรส ให้ชนชิมทุกชั้นชน
เบื้องหลังสิทุกข์ทน ทั้งขมขื่นจนเขียวคาว
จากแรงมาเป็นรวง ระยะทางนั้นเหยียดยาว
จากรวงเป็นเม็ดพราว ล้วนทุกข์ยากลำเค็ญเข็ญ
เหงื่อหยดสักกี่หยาด ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น
ปูดโปนกี่เส้นเอ็น จึงแปรรวงมาเปิบกิน
นำเหงื่อที่เรื่อแดง และน้ำแรงอันหลั่งริน
สายเลือดกูทั้งสิ้น ที่สูซดกำซาบฟัน


จิตร ภูมิ

เพลงเปิบข้าวเป็นเพลงที่ถูกเขียนในมุมมองของชาวนา เพลงนี้เล่าถึงความทุกข์ของชาวนา ซึ่งทำงานหนักมากเพื่อเก็บข้าวไปขายให้คนอื่นกิน
จังหวะของเพลงนี้ติดขัดมาก เพราะว่าผู้แต่งใช้วรรคที่สั้นมากและมีพยางค์น้อย ทำให้จังหวะขัดข้อง เทคนิคอันนี้สร้างบรรยากาศที่เครียดและมีแรงเยอะ
ภาษาของเพลงนี้เป็นภาษาที่ต่ำ โดยมีคำอย่างเช่น กู (ในวรรคสุดท้าย) การเลือกคำ (diction) อย่างนั้ทำให้ผู้อ่านเชื่อว่าเป็นชาวนา เพราะว่าใช้ภาษาที่ไม่เพราะหรือสุภาพมาก ทำให้ตัวกลอนทั้งหมดฟังดูน่าเชื่อถือ และจริงใจ

กลอนนี้ใช้เทคนิคเสียงเยอะมาก อย่างเช่นเมื่อชาวนาพูดถึงข้าว ใช้สัมผัสเสียง ช ช้าง มาก ซึ่งเมื่อพูดแล้วฟังดูลื่นไหล และสร้างบรรยากาศที่สบายและน่าฟัง แต่ในวรรคอื่นที่พูดถึงความทุกข์ อย่างเช่น

เบื้องหลังสิทุกข์ทน ทั้งขมขื่นจนเขียวคาว

มีสัมผัสเสียง ค ข เยอะมาก (cacophony) ที่เป็นเสียงแข็ง นี้ทำให้มีอารมณ์ที่โกรธ เจ็บปวด และสร้างบรรยากาศที่เครียด นอกจากนี้ เนื้อหาของวรรคนั้นเข้ากับเสียงที่ผู้แต่งเลือกใช้

กลอนนี้มีสัมผัสสระตอนจบของวรรค (rhyme) แต่ทุกวรรคถูกแบ่งเป็นสองช่วง ซึ่งทำให้จังหวะของกลอนถูกแตกออกมา และช่วยเสริมบรรยากาที่ติตขัดและเครียด

Sunday, January 4, 2009

นำ้เต็มแก้ว โดย Endorphine



วันๆที่เป็นอยู่ ต้องทำเพื่อเธอทุกอย่าง
แต่ใจเธอ ไม่เคยลืมรักครั้งเก่า
เธอเป็นแก้วใบหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยน้ำเปล่า
ยิ่งเทเติมลงไป มีแต่ล้นออก

คนเก่า รักเก่า เธอไม่เคยลบเลือน
คนใหม่ รักใหม่ เลยท้อ

จริงๆเข้าใจอยู่ กับความทรงจำครั้งเก่า
แต่ยังเอามันมาปิดกั้นหัวใจ
เปลี่ยนเป็นแก้วเปล่า แก้วใหม่
เปิดใจทีนะเธอรักเธอ
รับหน่อย รู้หน่อย ความรัก จากฉัน

ฉันยังต้องรออีกนานไหม
ต้องรอเธออีกนานไหม
ถึงจะได้เจอกับรักที่เธอเคยบอกฉัน
เมื่อไรรักเก่าระเหย
ฉันรอให้เธอได้ลืมดูสักวันสักวัน
เบื่อการ เริ่มใหม่ รักใหม่
เผื่อเธอกับฉันและรักเรา

ทุ่มเท เท่าไหร่ มันก้ล้นเท่านั้น
ไม่อาจ สัมผัสเข้าถึง สักครั้ง

ฉันยังต้องรออีกนานไหม
ต้องรอเธออีกนานไหม
ถึงจะได้เจอกับรักที่เธอเคยบอกฉัน
เมื่อไรรักเก่าระเหย
ฉันรอให้เธอได้ลืมดูสักวันสักวัน
เบื่อการ เริ่มใหม่ รักใหม่
เผื่อเธอกับฉันและรักเรา

บอกหน่อยฉันควรรอต่อไปไหม
ต้องรอเธออีกนานไหม
ถึงจะได้เจอกับรักที่เธอเคยบอกฉัน
เมื่อไรรักเก่าระเหย
ฉันรอให้เธอได้ลืมดูสักวันสักวัน
เบื่อการ เริ่มใหม่ รักใหม่
เผื่อเธอกับฉันและรักเรา
เพลงนำเต็มแก้วเป็นเพลงในมุมมองของผู้หญิงที่พูดถึงชายรักของเธอ โดยบอกว่าเขาเปรียบเสมือนแก้วที่เต็มไปด้วยนำ แล้วเมื่อเธอพยายามเทนำเข้าไปเพิ่ม แก้วจะล้น
นำเปล่าที้อยู่ในแก้วคืออุปมา ที่เเปลว่าเป้นรักเก่าของผู้ชายที่คือแก้ว ส่วนนำที่ผู้หญิงกำลังพยายามเทเข้าไปคือความรักใหม่ แต่ปรากฎว่านำล้น นี้แสดงถึงความที่ผู้ชายไม่สามารถลืมเหรือปล่อยรักเก่าของเขาไปได้
เพลงนี้ใช้คำที่เกี่ยวกับนำมาก อย่างเช่น ล้น เท แล้วก็ ระเหย นำในเพลงนี้เป็นสัญญลักษณ์ของความรัก ดังนั้นคำว่า ระเหย เป็น metaphor สำหรับการที่ความรักได้สูญหายไป
นอกจากนี้ เพลงนี้ใช้คำว่า ล้น หลายครั้งมาก เพื่อซ้ำเติมความรักเก่าของผู้ชาย
ผู้แต่งได้เลือกใช้น้ำเป็นสัณณลักษณ์ของความรักเพราะว่านำ เหมือนความรัก สามารถหายไป กลับมา เปลี่นแปลง แต่ที่สำคัญที่สุด สามารถเติมเต็มคน(แก้ว)ได้ และเทเข้าเทออกได้
structure ของเพลงนี้เหมือนเพลงอื่นๆ โดยมี verse chorus และ bridge. ตัว chorus มีคำว่ารักใหม่ และรักเก่าเพื่อย้ำว่าผู้ชายมีทั้งสองอย่าง แต่เลือกที่จะเก็บรักเก่าใว้ในแก้วแทนรักใหม่

เพลงแตงโม โดยRay




เห็นผู้คนสับสนวุ่นวายมากมาย จะชนกันตายกำลังไปหาอะไร
ไหนของดีอยู่ไหน หน้าตาอย่างไร ที่ทำให้ใครต่อใคร ต้องค้นต้องการ
แบบไหนที่ใครเขาชอบกัน ไอ้อย่างนั้นมันอยู่ที่ไหน

ใครทุกคนก็รู้ ก็ดูต่างมุมต่างใจกันไป ก็คงไม่เหมือนกัน
หากคิดว่าดีอย่างนั้น แล้วมันนิยมชื่นชมถูกใจ ใครๆ ก็ซื้อก็เอา
อย่างนั้นใครๆ ก็ชอบใจ ไอ้แบบไหนที่คนไม่ชอบกัน

แตงโมกิโลละ 3 บาท หากอยู่ในตลาด คุณค่ามันน้อยไป
แตงโมกิโลละ 100 บาท อยู่ในมินิมาร์ท ถูกใจใคร ๆ

เหมือนเหมือนกันอย่างนั้น ที่เราว่ามันจะดีไม่ดี จะดูกันที่อะไร
แล้ววัดกันที่ไหน วัดกันอย่างไร เปิดดูข้างใน อะไรก็เหมือนกัน
ชอบมั้ย อะไรที่ชอบใจ จากตรงไหนที่ใครก็ชอบกัน
To listen to this song, click here


Content
เพลงแตงโมเป็นเพลงที่สะท้อนถึงสังคมวัตถุนิยมในปัจจุบัน ผู้แต่งได้เลือกใช้แตงโม ซึ่งเป็นผลไม้ทั่วไป มาเป็นตัวอย่างในสองสถานการณ์ที่ต่างก็สะท้อนถึงนิสัยของคนที่ชอบซื้อของโดยดูป้ายราคา ยี่ห้อ และสถานที่ซื้อของแทนที่จะคิดว่าอะไรเหมาะสม ในเพลงนี้ สถานการณ์แรกอยู่ในตลาด ซึ่งขายแตงโมกิโลละ ๓ บาทเท่านั้น สถานการณ์ที่สองนั้นตั้งอยู่ที่มินิมาร์ท ผู้ที่ชอบซื้อแตงโมที่มินิมาร์ท ถึงแม้ว่าจะขายในราคาแพงถึงกิโลกรัมละหนึ่งร้อยบาทและเป็นแตงโมเหมือนกับที่ขายในตลาดก็ตาม เพราะทำให้ผู้ซื้อมีความรู้สึกสูงส่ง ความรู้สึกว่าตนเองมีฐานะทางสังคมที่สูงกว่า และประสบความสำเร็จมากกว่าผู้ที่ซื้อแตงโมที่ตลาดในราราคาเพียงกิโลกรัมละสามบาท นอกจากนี้ ผู้คนมักจะคิดว่าของที่ตลาดเป็นของที่คุณภาพไม่ดี เพราะว่าตลาดเป็นที่ที่ไม่เจริญเท่ามินิมารท์และยังขายในราคาถูกอีกด้วยผู้แต่งได้ตั้งชื่อกลอนนี้ว่า แตงโม ซึ่งเป็นชื่อที่เรียบง่ายแต่กำกวม ทำให้ผู้อ่านสงสัยว่าเนื้อเพลงจะเกี่ยวกับแตงโมอย่างไร แต่ในด้านตรงกันข้ามเพลงนี้ไม่ใช่เรื่องแตงโมอย่างที่ชื่อเพลงบอกใบ้ โดยรวมแล้ว ผู้แต่งพูดถึงเรื่องค่านิยมในปัจจุบันที่ผู้คนหันไปลุ่มหลงกับการยึดติดกับการบริโภคที่มีรูปแบบซับซ้อนขึ้น โดยยอมเสียเงินเพิ่มขึ้นหลายเท่าเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดี โดยการใช้เพลงเป็นสื่อช่วยบรรยายความคิดเห็นต่อผู้คนรอบข้าง

Form
ทรงหลักของเพลงนี้ในด้านของเนื้อหาเปรียบเสมือนสามเหลี่ยมคว่ำโดยมีช่วงแรกที่รางๆแล้วค่อยเติมรายละเอียดเข้าไปจนถึงช่วงสุดท้ายของเพลงที่เป็นความเห็นของผู้เขียนและเล็งที่คนฟังเพลง บทแรกของเพลงแตงโมเป็นตัวตั้งสถานการณ์เรื่องแนวและวัดุนิยม ส่วนบทที่สองมีเนื้อหาที่ลึกกว่าโดยเป็นเรื่องที่คนชอบหรือไม่ชอบ หลังจากนั้น chorus เจาะจงเรื่องที่เขียนใว้ในบท ๑ กับ ๒ โดยการใช้แตงโมในตลาดและมินิมาร์ทเป็นตัวอย่าง ช่วงสุดท้ายของเพลงนี้ใช้เทคนิค rhetorical question อย่างเช่น “แล้ววัดกันที่ไหน วัดกันอย่างไร” กับ “ชอบมั้ย อะไรที่ชอบใจ” เพื่อบ่งยอกความเห็นของตัวเองและกระตุ้นความสนใจของผู้ฟัง และให้ผู้ฟังคิดเรื่องเนื้อหาของเพลง
Language
เพลงนี้ใช้สัมผัสตัวอักศร assonance และการใช้คำซ้ำเพื่อสร้างบรรยกาศที่วุ่นวายเหมือนกับอยู่ในตลาด นอกจากนี้ เพลงแตงโมมีจังหวะดนตรีที่เร็วมากซึ่งเสริมความรู้สึกกระหืดกระหอบกับวุ่นวายยิ่งขึ้น ซึ่งวุ่นวายเป็นคำหนึ่งที่ผู้แต่งใช้ในเพลงนี้ มีสัมผัสตัวอักศรและassonanceในวรรคแรกของเพลง สับสน วุ่นวาย และ มากมาย เป็นคำติดต่อกัน ๓ คำ ที่ต่างก็มีสัมผัสตัวอักศรในตัวคำเอง ทำให้ ๓ คำนี้ดึงดูดความสนใจของผู้ฟัง. ผู้แต่งอยากให้คำพวกนี้โดดเด่นออกมา เพราะว่าเป็นคำที่ช่วยสร้างบรรยากาศ (มีคนมากมาย เป็นที่ที่วุ่นวาย และสับสน) หลังจากคำเหล่านี้ มีอติพจน์(hyperbole) ซึ่งคือ “จะชนกันตาย” เทคนิคนี้ขยายความเป็นจริง ทำให้ผู้อฟังคิดว่ามีคนเยอะมากและมีอารมณ์ที่วุ่นวายมาก ไม่ใช่แค่น้น แต่ยังทำให้ผู้ฟังสงสัยว่าอะไรกันที่ทำให้คนในเนื้อเพลงตื่นเต้จนจะ “ชนกันตาย “ ในวรรคที่สองของเพลงนี้ มีคำถามสั้นๆเพื่อสร้างความตื่นเต้นและความกระวนกระวาย อย่างเช่น
แล้ววัดกันที่ไหน วัดกันอย่างไร เปิดดูข้างใน อะไรก็เหมือนกันชอบมั้ย อะไรที่ชอบใจ จากตรงไหนที่ใครก็ชอบกันเนื้อเพลงในช่วงนี้มีสัมผัสสระและมีจังหวะที่ดี ทำให้มี flow ของเพลงที่คล่องเคล่วและฟังดูสนุกสนาน
ภาษาที่ผู้แต่งได้เลือกใช้ในเพลงนี้เป็นภาษาพูดอย่างเช่นใช้คำว่า ก็บ่อย เพราะว่าเพลงนี้ไม่ใช่เพลงที่มีอารมณ์มาก แต่เป็นเพียงแค่พาหนัความคิดเห็นของผู้แต่งต่อสังคมสมัยใหม่