
เห็นผู้คนสับสนวุ่นวายมากมาย จะชนกันตายกำลังไปหาอะไร
ไหนของดีอยู่ไหน หน้าตาอย่างไร ที่ทำให้ใครต่อใคร ต้องค้นต้องการ
แบบไหนที่ใครเขาชอบกัน ไอ้อย่างนั้นมันอยู่ที่ไหน
ใครทุกคนก็รู้ ก็ดูต่างมุมต่างใจกันไป ก็คงไม่เหมือนกัน
หากคิดว่าดีอย่างนั้น แล้วมันนิยมชื่นชมถูกใจ ใครๆ ก็ซื้อก็เอา
อย่างนั้นใครๆ ก็ชอบใจ ไอ้แบบไหนที่คนไม่ชอบกัน
แตงโมกิโลละ 3 บาท หากอยู่ในตลาด คุณค่ามันน้อยไป
แตงโมกิโลละ 100 บาท อยู่ในมินิมาร์ท ถูกใจใคร ๆ
เหมือนเหมือนกันอย่างนั้น ที่เราว่ามันจะดีไม่ดี จะดูกันที่อะไร
แล้ววัดกันที่ไหน วัดกันอย่างไร เปิดดูข้างใน อะไรก็เหมือนกัน
ชอบมั้ย อะไรที่ชอบใจ จากตรงไหนที่ใครก็ชอบกัน
To listen to this song, click here
Content
เพลงแตงโมเป็นเพลงที่สะท้อนถึงสังคมวัตถุนิยมในปัจจุบัน ผู้แต่งได้เลือกใช้แตงโม ซึ่งเป็นผลไม้ทั่วไป มาเป็นตัวอย่างในสองสถานการณ์ที่ต่างก็สะท้อนถึงนิสัยของคนที่ชอบซื้อของโดยดูป้ายราคา ยี่ห้อ และสถานที่ซื้อของแทนที่จะคิดว่าอะไรเหมาะสม ในเพลงนี้ สถานการณ์แรกอยู่ในตลาด ซึ่งขายแตงโมกิโลละ ๓ บาทเท่านั้น สถานการณ์ที่สองนั้นตั้งอยู่ที่มินิมาร์ท ผู้ที่ชอบซื้อแตงโมที่มินิมาร์ท ถึงแม้ว่าจะขายในราคาแพงถึงกิโลกรัมละหนึ่งร้อยบาทและเป็นแตงโมเหมือนกับที่ขายในตลาดก็ตาม เพราะทำให้ผู้ซื้อมีความรู้สึกสูงส่ง ความรู้สึกว่าตนเองมีฐานะทางสังคมที่สูงกว่า และประสบความสำเร็จมากกว่าผู้ที่ซื้อแตงโมที่ตลาดในราราคาเพียงกิโลกรัมละสามบาท นอกจากนี้ ผู้คนมักจะคิดว่าของที่ตลาดเป็นของที่คุณภาพไม่ดี เพราะว่าตลาดเป็นที่ที่ไม่เจริญเท่ามินิมารท์และยังขายในราคาถูกอีกด้วยผู้แต่งได้ตั้งชื่อกลอนนี้ว่า แตงโม ซึ่งเป็นชื่อที่เรียบง่ายแต่กำกวม ทำให้ผู้อ่านสงสัยว่าเนื้อเพลงจะเกี่ยวกับแตงโมอย่างไร แต่ในด้านตรงกันข้ามเพลงนี้ไม่ใช่เรื่องแตงโมอย่างที่ชื่อเพลงบอกใบ้ โดยรวมแล้ว ผู้แต่งพูดถึงเรื่องค่านิยมในปัจจุบันที่ผู้คนหันไปลุ่มหลงกับการยึดติดกับการบริโภคที่มีรูปแบบซับซ้อนขึ้น โดยยอมเสียเงินเพิ่มขึ้นหลายเท่าเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดี โดยการใช้เพลงเป็นสื่อช่วยบรรยายความคิดเห็นต่อผู้คนรอบข้าง
Form
ทรงหลักของเพลงนี้ในด้านของเนื้อหาเปรียบเสมือนสามเหลี่ยมคว่ำโดยมีช่วงแรกที่รางๆแล้วค่อยเติมรายละเอียดเข้าไปจนถึงช่วงสุดท้ายของเพลงที่เป็นความเห็นของผู้เขียนและเล็งที่คนฟังเพลง บทแรกของเพลงแตงโมเป็นตัวตั้งสถานการณ์เรื่องแนวและวัดุนิยม ส่วนบทที่สองมีเนื้อหาที่ลึกกว่าโดยเป็นเรื่องที่คนชอบหรือไม่ชอบ หลังจากนั้น chorus เจาะจงเรื่องที่เขียนใว้ในบท ๑ กับ ๒ โดยการใช้แตงโมในตลาดและมินิมาร์ทเป็นตัวอย่าง ช่วงสุดท้ายของเพลงนี้ใช้เทคนิค rhetorical question อย่างเช่น “แล้ววัดกันที่ไหน วัดกันอย่างไร” กับ “ชอบมั้ย อะไรที่ชอบใจ” เพื่อบ่งยอกความเห็นของตัวเองและกระตุ้นความสนใจของผู้ฟัง และให้ผู้ฟังคิดเรื่องเนื้อหาของเพลง
เพลงแตงโมเป็นเพลงที่สะท้อนถึงสังคมวัตถุนิยมในปัจจุบัน ผู้แต่งได้เลือกใช้แตงโม ซึ่งเป็นผลไม้ทั่วไป มาเป็นตัวอย่างในสองสถานการณ์ที่ต่างก็สะท้อนถึงนิสัยของคนที่ชอบซื้อของโดยดูป้ายราคา ยี่ห้อ และสถานที่ซื้อของแทนที่จะคิดว่าอะไรเหมาะสม ในเพลงนี้ สถานการณ์แรกอยู่ในตลาด ซึ่งขายแตงโมกิโลละ ๓ บาทเท่านั้น สถานการณ์ที่สองนั้นตั้งอยู่ที่มินิมาร์ท ผู้ที่ชอบซื้อแตงโมที่มินิมาร์ท ถึงแม้ว่าจะขายในราคาแพงถึงกิโลกรัมละหนึ่งร้อยบาทและเป็นแตงโมเหมือนกับที่ขายในตลาดก็ตาม เพราะทำให้ผู้ซื้อมีความรู้สึกสูงส่ง ความรู้สึกว่าตนเองมีฐานะทางสังคมที่สูงกว่า และประสบความสำเร็จมากกว่าผู้ที่ซื้อแตงโมที่ตลาดในราราคาเพียงกิโลกรัมละสามบาท นอกจากนี้ ผู้คนมักจะคิดว่าของที่ตลาดเป็นของที่คุณภาพไม่ดี เพราะว่าตลาดเป็นที่ที่ไม่เจริญเท่ามินิมารท์และยังขายในราคาถูกอีกด้วยผู้แต่งได้ตั้งชื่อกลอนนี้ว่า แตงโม ซึ่งเป็นชื่อที่เรียบง่ายแต่กำกวม ทำให้ผู้อ่านสงสัยว่าเนื้อเพลงจะเกี่ยวกับแตงโมอย่างไร แต่ในด้านตรงกันข้ามเพลงนี้ไม่ใช่เรื่องแตงโมอย่างที่ชื่อเพลงบอกใบ้ โดยรวมแล้ว ผู้แต่งพูดถึงเรื่องค่านิยมในปัจจุบันที่ผู้คนหันไปลุ่มหลงกับการยึดติดกับการบริโภคที่มีรูปแบบซับซ้อนขึ้น โดยยอมเสียเงินเพิ่มขึ้นหลายเท่าเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดี โดยการใช้เพลงเป็นสื่อช่วยบรรยายความคิดเห็นต่อผู้คนรอบข้าง
Form
ทรงหลักของเพลงนี้ในด้านของเนื้อหาเปรียบเสมือนสามเหลี่ยมคว่ำโดยมีช่วงแรกที่รางๆแล้วค่อยเติมรายละเอียดเข้าไปจนถึงช่วงสุดท้ายของเพลงที่เป็นความเห็นของผู้เขียนและเล็งที่คนฟังเพลง บทแรกของเพลงแตงโมเป็นตัวตั้งสถานการณ์เรื่องแนวและวัดุนิยม ส่วนบทที่สองมีเนื้อหาที่ลึกกว่าโดยเป็นเรื่องที่คนชอบหรือไม่ชอบ หลังจากนั้น chorus เจาะจงเรื่องที่เขียนใว้ในบท ๑ กับ ๒ โดยการใช้แตงโมในตลาดและมินิมาร์ทเป็นตัวอย่าง ช่วงสุดท้ายของเพลงนี้ใช้เทคนิค rhetorical question อย่างเช่น “แล้ววัดกันที่ไหน วัดกันอย่างไร” กับ “ชอบมั้ย อะไรที่ชอบใจ” เพื่อบ่งยอกความเห็นของตัวเองและกระตุ้นความสนใจของผู้ฟัง และให้ผู้ฟังคิดเรื่องเนื้อหาของเพลง
Language
เพลงนี้ใช้สัมผัสตัวอักศร assonance และการใช้คำซ้ำเพื่อสร้างบรรยกาศที่วุ่นวายเหมือนกับอยู่ในตลาด นอกจากนี้ เพลงแตงโมมีจังหวะดนตรีที่เร็วมากซึ่งเสริมความรู้สึกกระหืดกระหอบกับวุ่นวายยิ่งขึ้น ซึ่งวุ่นวายเป็นคำหนึ่งที่ผู้แต่งใช้ในเพลงนี้ มีสัมผัสตัวอักศรและassonanceในวรรคแรกของเพลง สับสน วุ่นวาย และ มากมาย เป็นคำติดต่อกัน ๓ คำ ที่ต่างก็มีสัมผัสตัวอักศรในตัวคำเอง ทำให้ ๓ คำนี้ดึงดูดความสนใจของผู้ฟัง. ผู้แต่งอยากให้คำพวกนี้โดดเด่นออกมา เพราะว่าเป็นคำที่ช่วยสร้างบรรยากาศ (มีคนมากมาย เป็นที่ที่วุ่นวาย และสับสน) หลังจากคำเหล่านี้ มีอติพจน์(hyperbole) ซึ่งคือ “จะชนกันตาย” เทคนิคนี้ขยายความเป็นจริง ทำให้ผู้อฟังคิดว่ามีคนเยอะมากและมีอารมณ์ที่วุ่นวายมาก ไม่ใช่แค่น้น แต่ยังทำให้ผู้ฟังสงสัยว่าอะไรกันที่ทำให้คนในเนื้อเพลงตื่นเต้จนจะ “ชนกันตาย “ ในวรรคที่สองของเพลงนี้ มีคำถามสั้นๆเพื่อสร้างความตื่นเต้นและความกระวนกระวาย อย่างเช่น
แล้ววัดกันที่ไหน วัดกันอย่างไร เปิดดูข้างใน อะไรก็เหมือนกันชอบมั้ย อะไรที่ชอบใจ จากตรงไหนที่ใครก็ชอบกันเนื้อเพลงในช่วงนี้มีสัมผัสสระและมีจังหวะที่ดี ทำให้มี flow ของเพลงที่คล่องเคล่วและฟังดูสนุกสนาน
ภาษาที่ผู้แต่งได้เลือกใช้ในเพลงนี้เป็นภาษาพูดอย่างเช่นใช้คำว่า ก็บ่อย เพราะว่าเพลงนี้ไม่ใช่เพลงที่มีอารมณ์มาก แต่เป็นเพียงแค่พาหนัความคิดเห็นของผู้แต่งต่อสังคมสมัยใหม่
เพลงนี้ใช้สัมผัสตัวอักศร assonance และการใช้คำซ้ำเพื่อสร้างบรรยกาศที่วุ่นวายเหมือนกับอยู่ในตลาด นอกจากนี้ เพลงแตงโมมีจังหวะดนตรีที่เร็วมากซึ่งเสริมความรู้สึกกระหืดกระหอบกับวุ่นวายยิ่งขึ้น ซึ่งวุ่นวายเป็นคำหนึ่งที่ผู้แต่งใช้ในเพลงนี้ มีสัมผัสตัวอักศรและassonanceในวรรคแรกของเพลง สับสน วุ่นวาย และ มากมาย เป็นคำติดต่อกัน ๓ คำ ที่ต่างก็มีสัมผัสตัวอักศรในตัวคำเอง ทำให้ ๓ คำนี้ดึงดูดความสนใจของผู้ฟัง. ผู้แต่งอยากให้คำพวกนี้โดดเด่นออกมา เพราะว่าเป็นคำที่ช่วยสร้างบรรยากาศ (มีคนมากมาย เป็นที่ที่วุ่นวาย และสับสน) หลังจากคำเหล่านี้ มีอติพจน์(hyperbole) ซึ่งคือ “จะชนกันตาย” เทคนิคนี้ขยายความเป็นจริง ทำให้ผู้อฟังคิดว่ามีคนเยอะมากและมีอารมณ์ที่วุ่นวายมาก ไม่ใช่แค่น้น แต่ยังทำให้ผู้ฟังสงสัยว่าอะไรกันที่ทำให้คนในเนื้อเพลงตื่นเต้จนจะ “ชนกันตาย “ ในวรรคที่สองของเพลงนี้ มีคำถามสั้นๆเพื่อสร้างความตื่นเต้นและความกระวนกระวาย อย่างเช่น
แล้ววัดกันที่ไหน วัดกันอย่างไร เปิดดูข้างใน อะไรก็เหมือนกันชอบมั้ย อะไรที่ชอบใจ จากตรงไหนที่ใครก็ชอบกันเนื้อเพลงในช่วงนี้มีสัมผัสสระและมีจังหวะที่ดี ทำให้มี flow ของเพลงที่คล่องเคล่วและฟังดูสนุกสนาน
ภาษาที่ผู้แต่งได้เลือกใช้ในเพลงนี้เป็นภาษาพูดอย่างเช่นใช้คำว่า ก็บ่อย เพราะว่าเพลงนี้ไม่ใช่เพลงที่มีอารมณ์มาก แต่เป็นเพียงแค่พาหนัความคิดเห็นของผู้แต่งต่อสังคมสมัยใหม่
Hi Pitchaya
ReplyDeleteเป็นงานวิเคราะห์ที่สั้นๆ แต่สะท้อนว่า quite appreciation to the poems.
Have good imagery, quite sensitive and subtle.
However,presentation of you blog is not very interesting-you could do it much better (I believe!)
Good job